ประทีป ตันประเสริฐ เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ สู่ธุรกิจที่รัก

ประทีป ตันประเสริฐ เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ สู่ธุรกิจที่รัก

ประทีป ตันประเสริฐ เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ สู่ธุรกิจที่รัก


เรียกว่า เป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตไกลคนหนึ่ง ด้วยการศึกษา และหน้าที่การงานที่สามารถสร้างการเติบโตไกล แต่เมื่อชีวิตก้าวเดินมาถึงจุดหนึ่ง เขาเลือกที่จะเดิน และเติบโตไปบนเส้นทางที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง จนเกิดเป็นรีสอร์ท “บูติค ราฟท์ รีสอร์ท” ริมแม่น้ำแควน้อย ในอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี

ประทีป ตันประเสริฐ เป็นชายหนุ่มที่กำลังถูกพูดถึง เพราะเขาคือ เจ้าของที่พักสวย “บูติค ราฟท์ รีสอร์ท” ที่ไม่เพียงจะเป็นสถานที่พักผ่อนอันน่าประทับใจของทุกคน และทุกครอบครัวกันแล้ว ที่รีสอร์ทแห่งนี้ ยังรายล้อมด้วยธรรมชาติ ในบรรยากาศเงียบสงบ มีเสียงน้ำไหลรินให้รู้สึกผ่อนคลาย “บูติค ราฟท์ รีสอร์ท เป็นรีสอร์ทที่ผมตั้งใจ อยากให้เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับทุก ๆ คน โดยแรงบันดาลใจในการมาทำธุรกิจรีสอร์ท ของผม เกิดขึ้นจากแรงผลักดันในหัวใจของผมเอง ที่ผมเป็นคนชอบเรื่องของงานอดิเรกของผม ไม่ว่าจะเป็น การแข่งรถยนต์ การเล่นเทนนิส การดำน้ำ หรือ แม้แต่การออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ รวมไปถึงการสะสมไม้จริง และชอบเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้”

คุณตุ่น (ชื่อเล่นของคุณประทีป ตันประเสริฐ) เล่าว่า เดิมทีแล้ว พ่อและแม่ของเขา เป็นชาวไร่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณรอบๆ รีสอร์ท มาก่อนตั้งแต่สมัยคุณปู่ก็ว่าได้ “แต่ก่อนบ้านของผม อยู่ข้างๆ รีสอร์ทครับ และผมก็เกิดที่นี่ และเรียนหนังสืออยู่ในพื้นที่นี้มาจนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษา ก่อนที่จะไปเรียนต่อปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) แล้วไปเรียนต่อAdvanced Diploma Business (Marketing) ที่ประเทศออสเตรเลีย”


จากนั้น เมื่อกลับมาประเทศไทย เขาก็ได้เข้าทำงานอยู่ที่ บริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ไทย) จำกัด “ผมทำงานอยู่ที่นี่นานถึง 18 ปี แต่ด้วยตัวของผม ที่ชอบเรื่องของการท่องเที่ยว ทำให้ผมตัดสินใจที่จะลาออกจากบริษัท ในปี 2006 แล้วกลับมาที่บ้านในจังหวัดกาญจนบุรี ดูแลธุรกิจรีสอร์ท ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมมาจนถึงวันนี้” ซึ่งถึงวันนี้ก็เรียกว่า เป็นเวลากว่า 17 ปีแล้วที่คุณตุ่น เข้ามาบริหารธุรกิจรีสอร์ทด้วยตัวของเขาเอง

จากข้างต้นเรื่องของงานอดิเรกและการท่องเที่ยว คุณตุ่นเล่าเสริมว่า หนึ่งในกิจกรรมที่เขารู้สึกชอบมากที่สุด น่าจะเป็น การดำน้ำ “ครั้งแรกของการดำน้ำเลย ก็คงจะต้องย้อนไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน ซึ่งน่าจะเป็นราว ๆ ปี 2020 ที่เราทุกคนกำลังเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ตอนนั้น ผมว่างมากเลย และพอดีกับที่มีเพื่อนชวนไปเรียนดำน้ำ ผมก็เลยลองไปเรียนกับเพื่อนๆ เพราะใจหนึ่งก็อยากรู้ว่า โลกใต้น้ำเป็นอย่างไร” โดยคอร์สมาตรฐานทั่วโลก ก่อนจะเป็นนักดำน้ำได้นั้นจะผ่านการเรียนหลักสูตร 3 วัน เพื่อให้ได้ใบรับรอง Opened Water สำหรับดำน้ำลึก 18 เมตร และหากเรียนต่อเพิ่มอีก 2 วัน ก็จะได้ใบรับรอง Advanced Opened Water ที่สามารถดำน้ำลึกได้ถึง 30 เมตร

“ในส่วนของสถานที่เรียนดำน้ำ ที่ผมอยากแนะนำ เกาะเต่า ถือว่าเป็นสถานที่เรียนดำน้ำดีที่สุด แถมอยู่ใกล้ และราคาไม่แพง การได้ไปฝึกดำน้ำในทะเลใกล้ๆ ฝั่ง ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง หรือนั่งเรือไกล ๆ ส่วนสถานที่สอนดำน้ำที่อื่นๆ ก็จะมีที่ภูเก็ต กระบี่ หรือที่ แสมสาร ซึ่งข้อดีของการเรียนดำน้ำในทะเล จะทำให้เราได้เห็นภาพใต้น้ำจริงๆ ที่จะทำให้รู้สึกยิ่งหลงใหลในเสน่ห์ใต้น้ำ มากขึ้น”


หลังจากที่ได้มีโอกาสดำน้ำจริง ๆ ก็เรียกว่า คุณตุ่น ลงใหลในมนต์เสน่ห์ของโลกใต้น้ำ “ทะเลที่ผมประทับใจที่สุดในชีวิต สำหรับการไปดำน้ำ ถ้าเป็นทะเลในประเทศไทย ก็น่าจะเป็นที่ เกาะริเซวิว ใกล้ๆ กับหมู่เกาะสุรินทร์ ที่นี่มีปลาหลากหลายสายพันธุ์ มีเยอะมากครับ ปลาใหญ่ก็เยอะ ปะการังแข็ง ปะการังอ่อน ใต้ทะเลอุดมสมบูรณ์มาก ส่วนชายหาดที่ผมชอบที่สุดก็ต้องยกให้ ทะเลที่ออสเตรเลีย เพราะที่นั่น คลื่นลูกโตมาก ดูมีพลังน่าเกรงขาม และหน้าผาก็สวย”

ในการดำน้ำแต่ละครั้ง คุณตุ่น เน้นย้ำให้ฟังถึงเรื่องของความปลอดภัยให้ฟังด้วย “มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ผมแทบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน ตอนนั้นเราไปดำน้ำ ที่ Shark Island ที่เกาะเต่า จำได้ว่า ตอนที่ไปดำน้ำ ผมไปเจอกับกระแสน้ำใต้ทะเลที่แรงมาก ผมพยายามวายทวนกระแสน้ำ ว่ายจนแทบหายใจไม่ทัน ต้องขอความช่วยเหลือจากครูฝึกใต้น้ำ ที่คอยดูแลพวกเรา โอ้ย! แทบตายเหมือนกันครับ” ไม่เพียงแค่เรื่องของกระแสน้ำ ที่ต้องระวังแล้ว สัตว์ใต้ทะเลหลายชนิด ก็ต้องระมัดวังเป็นพิเศษ เช่นกัน “อย่างปะการัง ที่เราเห็นว่าสวย แต่จริงๆ เขามีพิษ แต่ขึ้นอยู่กับว่า เวลาที่เราสัมผัสนั้น จะมีอาการแพ้พิษ มากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ ก็จะมีงูทะเล ปลาสกอร์เปี้ยน ที่พลางตัวเก่ง รวมถึง ฉลาม ก็ต้องระวัง ไม่เข้าใกล้เกินไป ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำร้ายคน หากไม่ไปรบกวนเขา แต่ทะเลสำหรับดำน้ำที่เมืองไทย เรียกว่า ปลอดภันมาก” คุณตุ่นเล่าด้วยว่า เวลาออกทริปดำน้ำแต่ละครั้ง เขาจะใช้เวลา 4-7 วัน และใช้งบประมาณอยู่ที่ 25,000-45,000 บาท ซึ่งก็จะรวมค่าดำน้ำ ค่าอาหาร ค่าเรือ แต่ไม่รวมค่าอุปกรณ์ส่วนตัว
ทั้งนี้คุณตุ่นยังบอกกฎ และความสำคัญในการดำน้ำแต่ละครั้งให้มีความปลอดภัยด้วยเว่า ทุกครั้งนอกจากจะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับดำน้ำให้มีความปลอดภัย และบำรุงซ่อมแซม ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุดแล้ว “เรายังต้องเชื่อฟัง ครูสอนดำน้ำ รวมถึงไกด์ดำน้ำที่คอยดูแล และต้องมีสมาธิอยู่ตลอดเวลา รวมถึงต้องทำตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของแต่ละสถานที่อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ก็ยังต้องดูแลรักษาสุขภาพ ร่างกาย ให้แข็งแรง และหากมีอาการป่วย ก็มีควรฝืนตัวเองลงไปดำน้ำ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง”
…เรียกว่า เป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจ ที่ใข้ไลฟ์สไตล์ของตัวเองมาสร้างธุรกิจ ที่จะเป็นอีกหนึ่งการต่อยอดแรงบันดาลใจสู่คนอีกมาย ต่อไป…

 

#underwater#people#talk#บุคคล#ดำน้ำ